Crescendo Lab Blog
Customer 360 |

4P มีอะไรบ้าง? เจาะลึกกลยุทธ์การตลาด 4P พร้อมตัวอย่างธุรกิจจริง

Crescendo Lab Thailand

4p-marketing-mix
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ 👇

แบ่งปันบทความ

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ติดตามความรู้ในแวดวง Martech จาก Crescendo Lab คลิกเลย!

การทำการตลาดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครบทุกมิติเพื่อเข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้จริง โดยหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักการตลาดทั่วโลกใช้เป็นพื้นฐานมาตลอดก็คือ กลยุทธ์การตลาด 4P (Marketing Mix)

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า 4P มีอะไรบ้าง สามารถประยุกต์ใช้จริงได้อย่างไร พร้อมการเปรียบเทียบกับโมเดลการตลาดอื่นอย่าง 7P และ 4C เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าควรเลือกใช้แนวคิดไหนกับธุรกิจของคุณ

4P Marketing Mix คือ เครื่องมือวางแผนการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างครอบคลุมและตรงใจลูกค้า โดยมี 4 องค์ประกอบหลักคือ

  • Product (ผลิตภัณฑ์): สิ่งที่ธุรกิจนำเสนอเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น คุณภาพ ฟีเจอร์ ดีไซน์ บริการหลังการขาย
  • Price (ราคา): กลยุทธ์การตั้งราคาให้เหมาะสมกับต้นทุน กำไร และการแข่งขันในตลาด
  • Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย): วิธีการนำสินค้าไปถึงมือลูกค้า ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ หรือผสมผสาน (O2O)
  • Promotion (การส่งเสริมการขาย): วิธีการสื่อสารเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น โฆษณา โปรโมชัน PR หรือการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย 

4P คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนเริ่มต้นวางกลยุทธ์

ก่อนจะเริ่มทำการตลาด สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ Marketing Mix หรือส่วนประสมทางการตลาด ซึ่งเปรียบเสมือนกล่องเครื่องมือที่นักการตลาดใช้ในการวางแผน เพื่อสร้างคุณค่าและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยหนึ่งในโมเดลที่ดังที่สุดก็คือ 4P Marketing Mix โดย Investopedia และ megaplaza ได้เผยว่า 4P Marketing Mix ถูกคิดขึ้นในปี 1960 โดยนักการตลาดชาวอเมริกัน Jerome McCarthy และ Philip Kotler หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของ “บิดาแห่งการตลาดสมัยใหม่”

จุดเด่นของโมเดลนี้คือช่วยให้ธุรกิจวางกลยุทธ์ได้ครบทุกด้าน ตั้งแต่การทำสินค้า ตั้งราคา หาช่องทางขาย ไปจนถึงการโปรโมท พูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลยคือ 4P เปรียบเหมือนเข็มทิศการตลาด ที่บอกทางว่าถ้าอยากให้ธุรกิจไปถึงเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ทำสินค้าดีอย่างเดียว แต่ต้องคิดครบทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

เจาะลึก 4P มีอะไรบ้าง? พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้

4p-consist-of

4P ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีการตลาด แต่เป็นแนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจวางกลยุทธ์ได้ครบทุกด้าน ตั้งแต่สินค้าไปจนถึงการโปรโมท มาดูกันว่า 4P มีอะไรบ้าง

1. Product (ผลิตภัณฑ์)

Product หรือผลิตภัณฑ์ คือสิ่งที่ธุรกิจนำเสนอเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือประสบการณ์ สิ่งที่ต้องพิจารณาไม่ใช่แค่คุณสมบัติพื้นฐาน แต่รวมถึงฟีเจอร์ การออกแบบ ดีไซน์ บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการรับประกันและบริการหลังการขาย เพราะทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

ตัวอย่างเช่น Apple ที่ไม่ได้ขายเพียงสมาร์ตโฟน แต่ใส่ใจตั้งแต่ดีไซน์ ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย ไปจนถึงบริการเสริม ทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงคุณค่าและความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน

2. Price (ราคา)

Price หรือราคา คือมูลค่าที่ลูกค้าต้องจ่ายเพื่อแลกกับสินค้าและบริการ การตั้งราคาที่เหมาะสมไม่ใช่แค่ครอบคลุมต้นทุนและสร้างกำไร แต่ยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและสภาพการแข่งขันในตลาดด้วย เช่น การตั้งราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่งเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ การตั้งราคาสูงเพื่อสร้างภาพลักษณ์พรีเมียม หรือการขายแบบจัดชุดให้คุ้มค่า

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Starbucks ที่ใช้กลยุทธ์ Premium Pricing ทำให้กาแฟไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่ม แต่เป็นประสบการณ์ที่ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อได้ทั้งคุณภาพและแบรนด์

3. Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)

texas-chicken

Place หรือช่องทางการจัดจำหน่าย คือวิธีนำสินค้าไปถึงมือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคดิจิทัลต้องผสมผสานทั้ง ออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ร้านค้า, เว็บไซต์, Social Media หรือ Marketplace การใช้กลยุทธ์ O2O Marketing ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า สร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ และกระตุ้นการซื้อซ้ำอย่างยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น Texas Chicken ใช้ระบบ O2O ผ่าน MAAC ดึงลูกค้าให้เพิ่มเพื่อนบน LINE OA จากเกม PAPRIKA Lucky Wheel จากนั้นแจกคูปองส่วนลดพิเศษบน LINE เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้าไปซื้ออาหารที่สาขาหน้าร้าน ผลปรากฏว่ามีคนร่วมสนุกกิจกรรมมากกว่า 10,000 คน และแลกใช้คูปองกว่า 20% ซึ่งถือเป็นผลตอบรับที่ดีเยี่ยมเกินคาด

สำหรับธุรกิจที่ต้องการจัดการช่องทางออนไลน์อย่างมีระบบ สามารถใช้ Crescendo Lab’s MAAC แพลตฟอร์ม LINE CRM ที่ช่วยธุรกิจวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบ 360 องศา ทำการตลาดตรงกลุ่มอย่างแม่นยำด้วยฟีเจอร์ Auto-tagging, Smart Segmentation, Smart Customer Journey ฯลฯ จัดการแคมเปญอัตโนมัติ เชื่อมต่อข้อมูลจากหลายช่องทาง สร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบ Personalization ได้ครบจบในที่เดียว

4. Promotion (การส่งเสริมการขาย)

Promotion หรือการส่งเสริมการขาย คือกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา PR การขายตรง หรือโปรโมชันพิเศษอย่างคูปองและส่วนลด ในยุคดิจิทัล การทำโปรโมชันผ่าน LINE OA ได้รับความนิยม เช่น LINE Broadcast ที่ส่งข้อความหาลูกค้าพร้อมกันเพื่อเพิ่มยอดขาย หรือ รีมาร์เก็ตติ้ง ที่ส่งข้อเสนอซ้ำให้ลูกค้าที่เคยเปิดอ่านแต่ยังไม่ซื้อ

อ่านเพิ่มเติม: รีมาร์เก็ตติ้งหลังเปิดอ่านข้อความ LINE ทำได้ด้วยหรอ?

 

A RAMEN เป็นตัวอย่างแบรนด์ร้านอาหารที่ออกแบบโปรโมชันได้อย่างน่าสนใจด้วยการติด “Tag” แบ่งลูกค้าตาม tier และออกแบบ customer journey แบบครบวงจร เช่น แคมเปญ "โค้ดลับจับเวลา" ที่ติด tag ตั้งแต่การสแกน Deeplink หน้าร้าน, การเข้าร่วมกิจกรรมผ่าน LINE (เชื่อมกับ MAAC) ไปจนถึงการใช้คูปอง ทำให้แบรนด์ติดตามพฤติกรรมลูกค้าได้ทุก touch point และรู้ว่าลูกค้าอยู่ใน stage ใดของ journey

วิธีนี้ทำให้แบรนด์เห็นว่าลูกค้าคนไหนที่เล่นเกมแล้วแต่ยังไม่ใช้คูปอง ก็สามารถส่งคูปองพิเศษ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจได้ตรงจุดแบบรายบุคคลเลยทีเดียว

a-ramen

เราจึงสรุปได้ว่า การตลาดด้วยกลยุทธ์ 4P จะมีประสิทธิภาพมากเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือดิจิทัลอย่าง Crescendo Lab’s MAAC ที่ช่วยเก็บ วิเคราะห์ และส่งข้อความถึงลูกค้าอย่างแม่นยำ พร้อมสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ครบจบในที่เดียว

ดาวน์โหลด E-Book ฉบับเต็มเกี่ยวกับกลยุทธ์ขั้นสูง LINE Tagging and Segmentation ฟรีตอนนี้! คลิกเลย

4P สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจยุคใหม่?

4P-importance

  • ช่วยให้การวางแผนการตลาดเป็นระบบและครอบคลุม ทำให้ธุรกิจสามารถจัดการทุกด้าน ตั้งแต่สินค้า ราคา ช่องทางจัดจำหน่าย ไปจนถึงโปรโมชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์ 4P ช่วยให้ธุรกิจโดดเด่นและตอบสนองตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง
  • ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น การปรับสินค้า ราคา และโปรโมชันตามพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าช่วยเพิ่มความพึงพอใจและกระตุ้นการซื้อซ้ำ

4P กับ 7P และ 4C Marketing: ความแตกต่างที่ควรรู้

4P 7P 4C
องค์ประกอบ Product
Price
Place
Promotion
Product
Price
Place
Promotion
People
Process
Physical Evidence
Customer
Cost
Convenience
Communication
มุมมอง มองจากฝั่งธุรกิจ (Business-oriented) เน้นประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ มองจากฝั่งลูกค้า (Customer-centric)
เหมาะกับธุรกิจ ธุรกิจทั่วไปที่ต้องการวางแผนการตลาดชัดเจนและเป็นระบบ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ที่ปรึกษา ธุรกิจที่ต้องการเข้าใจลูกค้าและตอบโจทย์ได้ตรงจุด เช่น e-commerce, ธุรกิจออนไลน์

ในการทำการตลาด โมเดลต่าง ๆ เช่น 4P, 7P และ 4C มีแนวทางและมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจวางกลยุทธ์ได้เหมาะสมกับประเภทสินค้า บริการ และกลุ่มลูกค้า โดย 4P เป็นโมเดลพื้นฐานที่เน้นมุมมองของธุรกิจ ประกอบด้วย Product, Price, Place และ Promotion เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการวางแผนการตลาดชัดเจนและเป็นระบบ

สำหรับโมเดล 7P เพิ่มองค์ประกอบสำคัญจาก 4 P อีก 3 อย่าง คือ People, Process, Physical Evidence เพื่อสร้างประสบการณ์และความน่าเชื่อถือให้ลูกค้า เหมาะกับธุรกิจเช่น ร้านอาหาร โรงแรม หรือบริการให้คำปรึกษาที่ต้องการเน้นประสบการณ์ลูกค้า

ในขณะที่ 4C มองจากมุมลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วย Customer, Cost, Convenience และ Communication ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการของลูกค้า ปรับราคาและบริการให้ตอบโจทย์ และสื่อสารได้ตรงใจ เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างความพึงพอใจและตอบสนองลูกค้าได้ตรงจุด

สรุปคือ หากต้องการวางแผนแบบ ธุรกิจเป็นหลัก ใช้ 4P หากเน้นบริการและประสบการณ์ลูกค้า ใช้ 7P และหากต้องการ เข้าใจและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง ใช้ 4C

สรุป: กลยุทธ์ 4P คือรากฐานสู่ความสำเร็จ

กลยุทธ์ 4P ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจวางแผนอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้งสินค้า ราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการขาย การประยุกต์ใช้ 4P ร่วมกับเครื่องมือดิจิทัล เช่น MAAC จาก Crescendo Lab

ช่วยให้ธุรกิจเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ทำแคมเปญอัตโนมัติ และสร้างประสบการณ์แบบ Personalization ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้การตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด และสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

4P มีอะไรบ้าง?

4P คือ Product, Price, Place, และ Promotion ซึ่งเป็นส่วนประสมทางการตลาดที่ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์

7P Marketing Mix มีอะไรบ้าง?

7P เป็นการต่อยอดจาก 4P โดยเพิ่ม People (บุคลากร), Process (กระบวนการ), และ Physical Evidence (สิ่งที่จับต้องได้) เข้ามา เพื่อใช้กับธุรกิจบริการเป็นหลัก

กลยุทธ์ 4P ของใคร?

กลยุทธ์ 4P ถูกคิดค้นโดย E. Jerome McCarthy และถูกทำให้เป็นที่นิยมโดย Philip Kotler ในเวลาต่อมา

4P ควรใช้เมื่อไหร่?

ควรใช้ 4P เป็นกรอบแนวคิดตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการทบทวนกลยุทธ์การตลาดในปัจจุบัน

มีตัวอย่าง 4P ในธุรกิจจริงไหม?

มีมากมาย เช่น Apple ที่เน้น Product ดีไซน์เรียบหรู ใช้งานง่าย, Starbucks ที่เน้นทั้ง Premium Pricing เพื่อชูคุณภาพการให้บริการ และ Place ด้วยการสร้างบรรยากาศร้านที่อบอุ่น, หรือ Shopee ที่เน้น Promotion (Flash Sale) และแจกโค้ดลดช่วงเวลา double date 11.11 หรือ โค้ดพิเศษช่วง pay day

4P ในยุคดิจิทัลมีการปรับใช้อย่างไร?

มีการปรับใช้โดยเพิ่มช่องทางดิจิทัลเข้ามา เช่น Place เปลี่ยนเป็นการขายผ่าน E-commerce หรือ Social Commerce และ Promotion เปลี่ยนเป็นการใช้ AI Marketing หรือ Personalized Campaign


สนใจยกระดับกลยุทธ์การตลาดด้วยโซลูชัน MAAC กรอกข้อมูลตอนนี้